‘ฮิญาบ’ เป็นมากกว่า ‘ผ้าคลุมศีรษะ’
พูดถึงเครื่องแต่งกายแล้วทางภาคใต้ของเราก็มีวัฒนธรรมการแต่งกายหลากหลายรูปแบบตามพื้นที่แต่ละจังหวัด แต่ถ้าจะให้แยกประเภทอย่างชัดเจนเด่นชัดทางฝั่งภูเก็ตบ้านเราเห็นจะเป็นการแต่งกายแบบชาวจีน – มลายูในชุดบาบ๋า ยาหยา และการแต่งกายของชาวมุสลิม ในชุดอาบายะห์ โต๊บ จีลบ๊าบ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ท้องถิ่นใต้ที่ง่ายต่อการสังเกตและการจดจำ
สิ่งหนึ่งที่เราเห็นและแอบสงสัยมานานเกี่ยวกับการแต่งกายของหญิงสาวชาวมุสลิมนั่นก็คือ ผ้าคลุมศีรษะ หรือที่เรียกว่า ‘ฮิญาบ’ นั่นเอง วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องราวดังกล่าวจากพี่น้องชาวมุสลิมไปพร้อม ๆ กันค่ะ
ก่อนอื่นเราจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ‘ฮิญาบ’ คือผ้าคลุมศีรษะของผู้หญิงมุสลิม ซึ่งศาสนาอิสลามระบุให้ผู้หญิงสวมผ้าคลุมปิดจนถึงหน้าอก เพื่อเป็นการปกปิดร่างกายให้มิดชิด เป็นการสำรวม การคลุมผ้าของสตรีมุสลิมนั้นไม่ใช่ประเพณีของอาหรับ แต่เป็นบทบัญญัติของศาสนา ซึ่ง ‘ฮิญาบ’ แปลว่า ‘ปิดกั้น’ การคลุมฮิญาบของสตรีอิสลามก็เปรียบเสมือนการปฏิบัติธรรมเฉกเช่นสตรีในศาสนาอื่นที่ปฏิบัติธรรมนั่นเอง คือการมีคุณธรรมประจำตน ทำให้สังคมมีศีลธรรมลดปัญหาสังคมต่าง ๆ
การคลุมฮิญาบของสตรีนั้น โดยทั่วไปจะเปิดเผยแค่ใบหน้าและฝ่ามือ ส่วนการปิดจนเหลือแต่ลูกตานั้นเป็นทัศนะที่ปฏิบัติเพื่อป้องกันตนเองจากฟิตนะห์ (ความไม่ดีไม่งามทางสังคม) เช่น ป้องกันการถูกแซว หรือ การหยอกล้อเชิงชู้สาวจากเพื่อนชาย เป็นต้น
ประวัติเรื่องราวที่มาของการคลุมผม หรือฮิญาบ มีอยู่ว่า… ช่วงแรก ๆ ในการเป็นศาสนทูตของท่านนบีมูฮำมัดนั้น ยังไม่มีคำสั่งเรื่องการคลุมฮิญาบลงมา ครั้นเมื่อท่านนบีมูฮัมมัด (ซล.) มุ่งหน้าไปยังเมืองมะดีนะฮฺ ช่วงนั้นท่านนบียังไม่มีที่บ้านเป็นของตนเอง จึงพักที่บ้านของอบูอัยยูบ แต่ภรรยาของท่านนบีต้องพักที่อื่น เช่นนั้นเมื่อภรรยาของท่านนบีและสตรีมุสลิมท่านอื่นๆ ต้องการออกไปทำภาระกิจ (เช่น ธุระส่วนตัว… เพราะเมื่อก่อนยังไม่มีห้องน้ำ) ในยามค่ำคืน ก็ต้องออกไปทำภารกิจนอกบ้านซึ่งในระหว่างทาง พวกอันธพาลมักนั่งแถว ๆ ข้างทาง คอยหยอกล้อ จีบสาว และพูดจาเกี้ยวพาราสีต่อสตรีที่เดินผ่านไปมา
ด้วยเหตุนี้พระองค์อัลเลาะห์ทรงประทานอัลกุรฺอานในบทที่ว่า “โอ้ นบีเอ๋ย จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบรรดาบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธาโดยให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนางเถิด” จึงเป็นบัญญัติที่สตรีมุสลิมต้องกระทำทั้งหมด มาจากความเข้าใจและจิตศรัทธา ถ้าเขาเข้าใจนั้น เขาก็ย่อมปฏิบัติได้ โดยไม่เคอะเขิน… ซึ่งฮิญาบที่ถูกต้องตามบัญญัติศาสนาจะต้องปฏิบัติดังนี้
1. การคลุมฮิญาบจะต้องปกปิดทุกส่วนของร่างกาย อัลเลาะห์ทรงตรัสว่า “โอ้ นบีเอ๋ย จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้าและบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง นั่นเป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน และอัลเลาะห์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ” เว้นเสียแต่การเปิดเผยโดยไม่ตั้งใจ
2. เสื้อคลุมจะต้องมีความหนา ไม่บาง ไม่รัดรูป เพราะเป้าหมายในการสวมใส่เสื้อคลุม คือการปกปิดร่างกายอย่างมิดชิด
3. ฮิญาบจะต้องไม่มีเครื่องประดับหรือมีสีสันสะดุดตาดึงดูดความสนใจของผู้พบเห็น ที่อัลเลาะห์ทรงตรัสว่า “และพวกนางจงอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกนางนอกจากส่วนที่ปรากฏเท่านั้น” หมายถึง ส่วนที่ปรากฏออกมาโดยไม่เจตนา หรือจงใจที่จะอวดแสดง เพราะฮิญาบ คือ การปกปิดเครื่องประดับไม่ให้บุคคลภายนอกได้เห็น รวมถึงเครื่องแต่งกายภายนอก เสื้อผ้าฮิญาบจะต้องมีความหลวม ไม่รัดรูป ไม่บางจนเห็นเรือนร่าง ส่วนพึงละอาย และสัดส่วนที่ปลุกเร้าอารมณ์
4. เสื้อผ้าฮิญาบจะต้องไม่ปะพรมน้ำหอมบนเรือนร่างเช่นเดียวกับห้ามปะพรมเครื่องหอมที่เสื้อผ้าซึ่งดึงดูดความสนใจจากผู้ชาย (แต่ถ้าอยู่ในบ้านกับมะหร็อมก็อนุญาตให้ใช้น้ำหอมได้)
5. เสื้อผ้าฮิญาบจะต้องไม่มีส่วนคล้ายคลึงกับเสื้อผ้าของผู้ชาย
ถึงตรงนี้ก็คลายสงสัยว่าทำไมสตรีชาวมุสลิมต้องคลุมผ้าฮิญาบ นั่นก็เนื่องมาจากคำสอนต่าง ๆ ของพระอัลเลาะห์นั่นเอง เพื่อป้องกันความเสื่อมเสียของ ‘การอวดโฉม’ (การที่สตรีได้นำเอาส่วนสวยงามของนางออกมาแสดง) เพื่อปกป้องสตรีมิให้ถูกจาบจ้วง เพื่อคุ้มครองความละอายและความสงบเสงี่ยมของสตรีเพื่อมิให้เกิดความเสียหาย และเพื่อไม่ให้ตัณหาราคะเกิดขึ้นภายในจิตใจของบรรดาบุรุษเพศ เพราะพระองค์ทรงรู้ดีถึงจิตใจของมนุษย์ซึ่งมีความอ่อนแอ และหัวใจของเยาวชนที่มีจิตใจรวนเร ซึ่งตกอยู่ภายใต้การชักนำของกามราคะนั่นเอง
นี่จึงเป็นบัญญัติที่ชัดเจนถึงความจำเป็นจะต้องสวมผ้าคลุมศีรษะปิดลงมาถึงหน้าอกของสตรีมุสลิม และถือว่าถ้าผู้ใดที่ไม่สวมผ้าคลุมศีรษะ เปิดเผยศีรษะและหน้าอก ก็เท่ากับว่าไม่ให้ความเคารพต่อคำสั่งของอัลเลาะห์ และจะต้องได้รับโทษจากพระองค์…
สตรีชาวมุสลิมจึงมีความภาคภูมิใจเมื่อสวมใส่ผ้าคลุมฮิญาบ และแต่งกายถูกต้องตามหลักศาสนาดังที่ศาสดาของตนได้สั่งสอนไว้ เป็นเครื่องหมายแสดงถึงความยำเกรงพระอัลเลาะห์ เป็นเครื่องหมายของศาสนา แสดงถึงการมีความละอาย และมีความสงบเสงี่ยม ทำให้ได้รับเกียรติยกย่อง และเป็นหลักฐานบ่งถึงการเป็นผู้มีจรรยามารยาทและมีความประพฤติเรียบร้อย ปลอดภัยจากชัยฏอน (มารร้าย) และปลอดภัยจากสายตาของคนโฉดชั่วทั้งหลาย…
สำหรับวิธีการคลุมผ้านั้นก็สามารถสวมใส่โดยใช้ผ้าหลากหลายชนิด เช่น ผ้าสามเหลี่ยม ผ้ายาว ที่ตกแต่งลวดลายต่าง ๆ ไว้อย่างสวยงาม สามารถพันผ้าได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสไตล์คูเวต ซึ่งมีลักษณะเป็นฮิญาบกึ่งสำเร็จรูป มีวิธีการหนึ่งซึ่งง่ายมาก เรียกได้ว่าซื้อผ้าผืนเดียวก็เกินคุ้ม เริ่มด้วยสวมผ้าแล้วจับชายผ้าด้านที่ยาวพันขึ้นเหนือศรีษะ แล้วจับชายผ้าเตรียมพันขึ้นอีกรอบ แต่ต้องสังเกตชายผ้าด้านซ้ายมือ จากนั้นบิดผ้าแล้วพันขึ้นเหนือศีรษะอีกรอบ ติดเข็มกลัดไว้ ต่อไปมาที่ชายผ้าที่สั้นสีพื้น จับผ้าด้านซ้ายมือขึ้นไปติดเข็มกลัดบริเวณหัวไหล่ ให้ผ้าด้านหน้าเป็นรูปสามเหลี่ยมคว่ำ เพียงเท่านี้ก็จะได้การคลุมฮิญาบที่สวยงามและถูกต้องตามหลักศาสนาทุกประการแล้วล่ะค่ะ นอกจากสไตล์การคลุมแบบคูเวตแล้วก็ยังมีอีกหลายสไตล์ เช่น สไตล์ตุรกี สไตล์ดูไบ หรือสไตล์อื่น ๆ แต่มักจะขึ้นอยู่กับความถนัด และความชอบของแต่ละบุคคล เนื่องจากแต่ละสไตล์มีวิธีการพันผ้าที่ยากง่ายต่างกัน ถ้าจะให้สะดวกและง่ายที่สุดก็ต้องเป็นฮิญาบสำเร็จรูป เพราะเมื่อเก็บผมเสร็จแล้วก็สามารถสวมลงได้ทันที… เรียกได้ว่าสวยได้รวดเร็ว ทันใจเลยทีเดียวค่ะ
ปัจจุบันผ้าคลุมฮิญาบที่ใช้กันเป็นประจำในชีวิตประจำวันของสตรีมุสลิม มีให้เลือกสรรหลากหลายชนิด หลายรูปแบบเช่นกันทั้งเนื้อผ้า และลวดลาย ที่มีทั้งลายเส้น ลายดอกไม้ แม้กระทั่งการนำวัสดุต่าง ๆ มาปักเป็นลายตกแต่งด้วยความประณีต แลดูสวยงาม เพื่อตอบสนองความต้องการของสตรีมุสลิมและยังเป็นการเพิ่มมูลค่าและคุณค่าให้กับสินค้า ทั้งนี้ก็จะขึ้นอยู่กับประเภทและชนิดของผ้าและลวดลายที่เป็นองค์ประกอบหลักในการทำให้ราคาแตกต่างกันไปด้วย
แม้ว่ารูปแบบ ชนิด ประเภท หรือราคาของฮิญาบจะแตกต่างกันเป็นไปตามฐานะและความนิยมในสังคม แต่สิ่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่หลัง ฮิญาบผืนงามเหล่านั้น คือคำสอนของศาสดาที่เตือนใจผู้สวมใส่มิให้ละเลยในการปฏิบัติธรรม ให้รู้จักประพฤติปฏิบัติตน ดำรงอยู่ด้วยความดี เพื่อความสงบงามของสังคม
เรื่องอื่น ๆ
สวัสดีครับ/ค่ะ! ผม/ดิฉันเป็นหมอที่เชี่ยวชาญในด้านการแพทย์ครับ/ค่ะ ประสบการณ์ของผม/ดิฉันเกี่ยวข้องอย่างแน่นหนากับความตั้งใจในการช่วยเหลือคน และผม/ดิฉันได้ค้นพบทางที่จะใช้พรสวรรค์ทางภาษาของผม/ดิฉันในการทำเช่นนั้น ความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษของผม/ดิฉันได้เปิดโอกาสให้ผม/ดิฉันไม่เพียงแต่ทำงานกับผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังแบ่งปันความรู้และข้อมูลผ่านการเขียนบทความข่าวสาร
ผม/ดิฉันชื่อ Ananda Niran (อนันดา นิรันดร์) และการเดินทางในวงการแพทย์ของผม/ดิฉันเริ่มต้นมานานแล้ว ผม/ดิฉันได้รับการศึกษาที่มหิดลศาสตร์ และตั้งใจที่จะให้ความสุขและความเจริญสบายในสุขภาพกับผู้ป่วย ประสบการณ์การทำงานของผม/ดิฉันรวมถึงการปฏิบัติงานในหลากหลายสถานบริการทางการแพทย์ ที่นั่นผม/ดิฉันมีหน้าที่วินิจฉัย รักษา และดูแลผู้ป่วยที่มีโรคหลากหลาย
อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป ผม/ดิฉันเข้าใจว่าสิ่งสำคัญไม่ได้เพียงแค่การช่วยเหลือผู้ป่วยแต่เพิ่มเติมด้วยการกระจายข้อมูลที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับกลุ่มคนใหญ่ ในโลกที่มีข้อมูลทางการแพทย์มากมาย ผม/ดิฉันตัดสินใจที่จะเข้าร่วมมีส่วนร่วมโดยใช้ความรู้และทักษะทางภาษาของผม/ดิฉัน จึงเริ่มเขียนบทความข่าวสารเกี่ยวกับความก้าวหน้าล่าสุดในการแพทย์ โรคต่าง ๆ การป้องกัน และรูปแบบการดำเนินชีวิต
ความหลงไหลในการเขียนช่วยให้ผม/ดิฉันสามารถอธิบายคำศัพท์และความคิดทางการแพทย์ที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ผม/ดิฉันพยายามให้ความสำคัญและรับผิดชอบต่อทุกบทความ เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องและมีประโยชน์ ที่สามารถช่วยเหลือคนในการดูแลสุขภาพของตน
พลังประสิทธิ์ของผม/ดิฉันคือที่ทำให้ข้อมูลทางการแพทย์เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้ นอกจากนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนใส่ใจกับความเจริญสุขของตนเอง บทความข่าวสารทุกเรื่องเป็นโอกาสที่จะแบ่งปันความรู้และช่วยเหลือคนที่กำลังมองหาข้อมูลทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้ นี่คือเสถียรภาพของผม/ดิฉัน และผม/ดิฉันภาคภูมิใจที่สามารถให้ความช่วยเหลือและแรงบันดาล
ใจในโลกของสายการแพทย์นี้ได้