หลังจากประสบความสำเร็จไปกับโครงการเพื่อผู้อยู่อาศัยระดับพรีเมี่ยม อย่าง ‘แกรนด์ โบ๊ท พลาซ่า’ และ คอมมิวนิตี้มอลล์แห่งใหม่ที่รวบรวมร้านค้า สำนักงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายเข้าไว้ด้วยกัน อย่าง ‘โบ๊ทพลาซ่าและโบ๊ทอเวนิว’ ตามด้วยโครงการ ‘บายพาส บิซ ทาวน์’ ซึ่งถือเป็นการปรับโฉมรูปแบบโครงการอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดภูเก็ตให้แตกต่างไปจากเดิม และได้รับเสียงตอบรับจากลูกค้าอย่างดีเยี่ยมแล้ว บริษัทอสังหาฯ ท้องถิ่น ที่เป็นที่รู้จักของคนภูเก็ต อย่าง โบ๊ทพัฒนา จำกัด ก็ยังไม่หยุดนิ่งที่จะเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ ๆ เพื่อโชว์ศักยภาพให้ชาวภูเก็ตได้ตบเท้าจับจองกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโครงการล่าสุดที่จะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ ก็คือ โครงการ Hideaway @ Bypass
คุณภาณุพงศ์ กริชจนรัช ซีอีโอ บริษัทโบ๊ทพัฒนาจำกัด ได้กล่าวถึงโครงการใหม่ ซึ่งเป็นโครงการที่ 10 ของบริษัทฯ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 20 ไร่ บนถนนบายพาสว่า เป็นโครงการลักษณะ Mixed Residential Complex ที่มีแนวคิดในการนำเสนอที่อยู่อาศัยสไตล์รีสอร์ท เน้นความอยู่สบายและเป็นส่วนตัวบนทำเลที่ถือว่าเป็นทำเลทองอีกแห่งหนึ่งบนเกาะภูเก็ต
“ตัวโครงการประกอบด้วย บ้านพักสไตล์มินิวิลล่า แบบ 2 ห้องนอน บ้านวิลล่าระดับกลาง ไปจนถึงลักซ์ชัวรี่วิลล่า บนพื้นที่ตั้งแต่ประมาณ 30 ตารางวาไปจนถึง 1 ไร่ ซึ่งโครงการนี้จะเน้นโซนเรสิเดนเชียล เป็นสัดส่วนมากถึง 95% และอีก 5% เป็นโซน คอมเมอร์เชียลซึ่งจะมีด้านหน้าติดกับถนนประชาอุทิศ 5 ซึ่งรูปแบบของเราก็ระบุแน่นอนชัดเจนว่า สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ก็จะเป็นสไตล์รีสอร์ท มีสวนน้ำขนาดกลางหรือที่เราเรียกว่า Mini Water Park ที่มากกว่า common pool ทั่วไปที่ให้บริการเฉพาะกับผู้อยู่อาศัยในโครงการเท่านั้น ส่วนการออกแบบภูมิทัศน์ ก็จะเป็นแนวรีสอร์ท คือ มีต้นไม้เยอะ ๆ มีคลับเฮ้าส์และฟิตเนสในบริเวณสวนน้ำ ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ เช่น คาเฟ่ ร้านอาหาร ผู้ที่พักอาศัยที่นี่ก็สามารถไปใช้บริการที่พื้นที่ใกล้เคียงได้ เช่นที่ โครงการบายพาส บิซ ทาวน์ หรือแม้แต่มาที่ โบ๊ทพลาซ่า ซึ่งก็ไม่ไกลกันมาก ซึ่งเราคิดว่า โครงการนี้จะเป็นอีกโครงการที่ตอบโจทย์ทั้งลูกค้าในภูเก็ตและลูกค้าที่อยู่ต่างจังหวัดได้ไม่ต่างจากโครงการที่แล้ว ๆ มา”
คุณภาณุพงศ์กล่าวว่า ความแตกต่างของ Hideaway @ Bypass จากโครงการเดิม ๆ ของบริษัทที่แล้วมา ก็เห็นจะเป็นเรื่องของการพัฒนาโครงการนี้ให้มีความรู้สึกเป็นรีสอร์ทมากยิ่งขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องไปอยู่ในทำเลที่ไกลความเจริญหรือแหล่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในเมือง ซึ่งความหมายของ Hideaway คือหลบซ่อน และ ถนน Bypass คือ ความสะดวกสบาย ก็เป็นการสื่อถึงการสร้างที่อยู่อาศัยที่สามารถอาศัยได้จริง มีความสงบ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังต้องการการเข้าถึงความสะดวกสบายที่สังคมเมืองมีให้ ดังนั้น ถ้าทุกอย่างที่กล่าวมามารวมตัวอยู่ที่เดียวกัน จึงเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะจุดเด่นของโครงการ Hideaway @ Bypass ที่เห็นได้ชัดที่สุด ก็คือพื้นที่ตั้งของโครงการ เพราะอยู่บนถนนบายพาส ที่ถือได้ว่าเป็นถนนที่มีศักยภาพสูงสุดของจังหวัดภูเก็ต
“เราสร้างโครงการนี้ขึ้นมาเพื่อตอบรับกับการพัฒนาที่ดินบริเวณถนนบายพาสในอนาคตอันใกล้ ที่จะมีการก่อสร้างศูนย์การค้าใหญ่ ๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเครือเซ็นทรัลฯ, เดอะมอลล์, หรือบลูเพิร์ล ที่จะเข้ามาถึงภูเก็ตเร็ว ๆ นี้ การเติบโตตรงนี้จะก่อให้เกิดการสร้างงานอีกหลายพันหรือเฉียดหมื่นตำแหน่ง โครงการนี้จึงเหมาะแก่กลุ่มลูกค้าที่ซื้อไว้อยู่อาศัยเองสำหรับทำงานบริเวณนี้ หรือจะซื้อเพื่อลงทุนและปล่อยเช่าก็สามารถทำได้ เพราะราคาเริ่มต้นที่เรานำเสนอก็ไม่ได้ไม่สูงนัก เพียง 2 ล้านกว่าบาทเท่านั้น”
นอกจากทำเลที่ตั้งแล้ว การบริการหลังการขาย รวมไปถึงการบริหารจัดการอสังหาฯ เช่นการขายต่อและการเช่า ก็นับว่ามีส่วนสำคัญในการสร้างความไว้วางใจให้แก่กลุ่มลูกค้าที่บริษัทโบ๊ทพัฒนาจำกัด ไม่ลืมที่จะคำนึงถึง
“เรามีฝ่ายใหม่ที่เราตั้งชื่อว่า โบ๊ท แอสเซ็ท แมเนจเม้นท์ (Boat Asset Management) หรือ B.A.M เป็นฝ่ายบริการใหม่ที่เราตั้งขึ้นมาสำหรับลูกค้าของบริษัทโบ๊ทพัฒนาเท่านั้น ซึ่งจะเป็นการบริการที่ช่วยดูแลตั้งแต่เรื่องหลังการขาย ไม่ว่าจะเป็น การจัดหาผู้เช่า การช่วยดูแลเกี่ยวกับการซื้อขายในลักษณะของรีเซลล์ หรือแม้กระทั่งช่วยหาบ้านในกรณีที่มีผู้ต้องการบ้านมือสอง หรืออยากได้โครงการของเราที่ปิดโครงการไปแล้ว ก็สามารถติดต่อกับ B.A.M ได้ นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องของการควบคุมดูแลบริการด้านอื่น เช่น รปภ. แม่บ้าน การดูแลพื้นที่ส่วนกลาง เป็นต้น”
จุดเด่นข้อต่อมา คุณภาณุพงศ์บอกว่า ต้องยกให้เป็นในเรื่องของการออกแบบโครงการ ที่ผ่านกระบวนการคิดที่รองรับความต้องการของทั้งผู้อยู่อาศัยจริง และลูกค้าที่จะมาเช่าต่อ รวมทั้งการพยายามทำให้เกิดการอยู่อาศัยแบบ Green Community คือทั้งประหยัดพลังงานและช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย
“เราได้ดีไซน์เผื่อเพื่อรองรับทั้งแบบที่เป็นการอยู่อาศัยที่แท้จริง และเพิ่มดีไซน์ด้านความเซ็กซี่เพื่อฉีกความซ้ำซากจำเจของความรู้สึกว่าเป็นบ้านปกติออกไปเพื่อเป็นจุดขายในกรณีที่ลูกค้าต้องการนำไปปล่อยเช่า นอกจากนี้เรายังเพิ่มในเรื่องของการจัดพื้นที่ส่วนกลางให้มากขึ้น อย่างเช่น ลดพื้นที่จอดรถในบริเวณคลับเฮาส์เพื่อที่จะได้ขยายขนาดของสระน้ำและพื้นที่สีเขียวให้มากขึ้น เปลี่ยนจากที่จอดรถยนต์ให้เป็นที่จอดจักรยานแทนเพื่อกระตุ้นให้ผู้พักอาศัยได้มีส่วนร่วมในการอยู่อาศัยในลักษณะ Green Community นอกจากนี้ เรายังมีสิทธิพิเศษให้กับลูกค้า โดยจะสามารถใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในโบ๊ทพลาซ่า เช่น สระว่ายน้ำ, สนามฟุตบอลหญ้าเทียม, โรงเรียนสอนเต้น ได้ในราคาพิเศษอีกด้วย”
ในขณะที่ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ ในภูเก็ตรายใหม่ ๆ เริ่มเน้นไปที่การพัฒนาโครงการในแนวดิ่ง จากปัจจัยราคาที่ดินบนเกาะภูเก็ตที่ถีบตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมาก แต่โบ๊ทพัฒนายังคงปักหลักอยู่ที่การพัฒนาในแนวราบ ซึ่งคุณภาณุพงศ์ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า อย่างไรเสีย ความต้องการของคนภูเก็ตในตอนนี้ก็ยังอยู่ที่การมีบ้านที่มีที่ดินเป็นของตัวเอง
“คือเรามองเปรียบเทียบไปทั้งที่สิงคโปร์และฮ่องกง พบว่า คนภายนอกมองว่า ใครก็ตามที่มีบ้านในสิงคโปร์ หรือฮ่องกง เป็นคนที่โชคดีมาก ๆ คือมีทั้งบ้านและที่ดินด้วย ซึ่งหากจะขายต่อก็ได้ราคา กก็เพราะราคาก็มีแต่จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ เกาะภูเก็ตในอนาคตก็จะเป็นแบบสิงคโปร์และฮ่องกง เราจึงอยากพัฒนาอสังหาฯ แนวราบ เช่นบ้านหรือวิลล่า ให้กับคนภูเก็ตหรือคนต่างถิ่นที่ต้องการมีที่ดินในภูเก็ตต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าวันนึงที่เราเห็นว่าเหมาะสมที่จะเป็นคอนโดฯ แล้วเราจึงค่อยทำ เพราะเราคิดว่าในอนาคตอีก 5 ปี หรือ 10 ปี หรือเมื่อไหร่ก็ตาม เราก็ยังสามารถสร้างคอนโดฯ ดี ๆ ขึ้นมาได้ แต่เรามองว่าอยากที่จะทำเป็นทางเลือกหนึ่งให้แก่ลูกค้ามากกว่า อย่างเช่น ในมินิวิลล่าของเราจะมี 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ จอดรถได้ 1 คัน ซึ่งราคาของโครงการนี้ สามารถแข่งกับคอนโดฯ 2 ห้องนอนได้อย่างสบาย ๆ และหากพิจารณาถึงความคุ้มค่า อย่างไรเสีย ลูกค้าก็น่าจะเลือกอสังหาฯ แนวราบในแบบเราเป็นตัวเลือกแรก ๆ อยู่แล้ว ในขณะเดียวกันเราก็มองว่าการพัฒนาคอนโดฯ ในขณะนี้มีอุปทานมีมากกว่าอุปสงค์ค่อนข้างเยอะอยู่แล้ว เราจึงยังไม่อยากทำในตอนนี้เพราะเรายังพอมีศักยภาพในการทำแนวราบอยู่”
ส่วนเหตุผลสำคัญอื่นนั้น คุณภาณุพงศ์กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในช่วงระยะเวลา 2-3 ปี ที่ผ่านมา ผู้บริโภค ผู้ซื้อ ผู้ลงทุน เริ่มได้รับบทเรียน เริ่มเข้าใจแล้วว่าการลงทุนในอสังหาฯ แนวดิ่ง โดยมุ่งแต่การสร้างคอนโดฯ เพียงอย่างเดียว จะเกิดภาวะ over supply ซึ่งวันนี้ก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง อย่างบางโครงการ คือ มีแต่ยอดจอง แต่ยอดโอนน้อยมาก ผมมองว่าทุกคนในวงการอสังหาฯ ก็เริ่มรับรู้แล้วว่าเกิดปัญหา เริ่มมีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับปัญหาตรงนี้ ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะดีอย่างไร แต่ก็ต้องดูปัจจัยพื้นฐานควบคู่ไปด้วย จังหวัดภูเก็ตยังมีปัญหาเรื่องการคมนาคม คือไม่มีระบบขนส่งมวลชนที่เพียงพอ ผู้คนจึงจำเป็นต้องมีรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ส่วนตัว แต่คอนโดฯ หนึ่ง ๆ มีที่จอดรถได้ไม่เท่ากับจำนวนผู้อยู่อาศัย เกิดการแย่งพื้นที่จอดรถ ซึ่งผมเคยอยู่คอนโดฯ ที่กรุงเทพฯ และเคยมีปัญหาเรื่องนี้มาแล้ว ก็รู้สึกว่าถ้าเราจะทำโครงการอะไรเราต้องรับผิดชอบลูกค้าให้เต็มที่ เราตั้งใจจะเป็นผู้ประกอบการที่รับผิดชอบต่อสังคม เพราะฉะนั้น อะไรที่มันค้านกับแนวคิดในเชิงความเป็นจริงเรื่องเศรษฐศาสตร์ที่เรามองเห็น เราก็ไม่ฝืนทำ ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ตามกระแส เรามีจุดยืนที่ค่อนข้างชัดเจนในเรื่องความรับผิดชอบต่อลูกค้าครับ”
คำพูดนี้ นับเป็นการยืนยันเรื่องของความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง เพราะยอดการปิดการขายของแต่ละโครงการของโบ๊ทพัฒนานั้น ก็สามารถทำได้จริงในเวลาอันรวดเร็ว เนื่องมาจากแต่ละโครงการนั้นถูกศึกษามาแล้วเป็นอย่างดี
“9 โครงการที่ผ่านมา เราสร้างพร้อมกันทั้งโครงการ นี่คือจุดเด่นอีกจุดหนึ่ง คือเราไม่สร้างใหญ่เกินตัว เราสร้างเท่าที่เราสร้างได้ ที่ผ่านมาเราเริ่มตั้งแต่โครงการ 3 ไร่ จนถึง 20 ไร่ เราค่อย ๆ โตภายใน 6 ปี เท่าที่ผ่านมาเราขายวันเดียวหมด ถึงแม้เศรษฐกิจจะไม่ค่อยดี แต่ขายวันแรกก็ประมาณ 80-90% เราจึงไม่จำเป็นต้องขายแพงมากแต่เราต้องการขายให้หมด จะทำให้ไม่ต้องเสียค่าบริหารจัดการมาก และไม่กระทบต่อลูกค้าด้วย นอกจากนี้เรายังมีกำลังมากพอที่จะสร้างพร้อมกันทีเดียวทั้งโครงการ โดยที่ผู้บริโภคไม่ต้องกังวลว่าโครงการจะสร้างไม่เสร็จหรือเสร็จช้า ซึ่งตรงนี้ก็จะทำให้ผลกระทบต่าง ๆ ต่อผู้ซื้อมีน้อยมาก นี่จึงทำให้ลูกค้าหลายท่าน ที่เป็นลูกค้าเดิม กลับมาซื้อโครงการกับเราอีก”
ความรับผิดชอบและความเป็นมืออาชีพ รวมถึงความเป็นบริษัทท้องถิ่นของโบ๊ทพัฒนา ที่สรรค์สร้างแต่ละโครงการออกมานั้น เราไม่อาจจะใช้คำพูดใดมาอธิบายได้ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นคงต้องเข้ามาเป็นลูกค้าเองเท่านั้นจึงจะเข้าใจ และเมื่อโครงการ Hideaway @ Bypass เปิดตัวเมื่อไหร่ โครงการนี้ก็น่าจะทำให้ชาวภูเก็ตได้ประทับใจกันอีกครั้งอย่างแน่นอน
สวัสดีครับ/ค่ะ! ผม/ดิฉันเป็นหมอที่เชี่ยวชาญในด้านการแพทย์ครับ/ค่ะ ประสบการณ์ของผม/ดิฉันเกี่ยวข้องอย่างแน่นหนากับความตั้งใจในการช่วยเหลือคน และผม/ดิฉันได้ค้นพบทางที่จะใช้พรสวรรค์ทางภาษาของผม/ดิฉันในการทำเช่นนั้น ความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษของผม/ดิฉันได้เปิดโอกาสให้ผม/ดิฉันไม่เพียงแต่ทำงานกับผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังแบ่งปันความรู้และข้อมูลผ่านการเขียนบทความข่าวสาร
ผม/ดิฉันชื่อ Ananda Niran (อนันดา นิรันดร์) และการเดินทางในวงการแพทย์ของผม/ดิฉันเริ่มต้นมานานแล้ว ผม/ดิฉันได้รับการศึกษาที่มหิดลศาสตร์ และตั้งใจที่จะให้ความสุขและความเจริญสบายในสุขภาพกับผู้ป่วย ประสบการณ์การทำงานของผม/ดิฉันรวมถึงการปฏิบัติงานในหลากหลายสถานบริการทางการแพทย์ ที่นั่นผม/ดิฉันมีหน้าที่วินิจฉัย รักษา และดูแลผู้ป่วยที่มีโรคหลากหลาย
อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป ผม/ดิฉันเข้าใจว่าสิ่งสำคัญไม่ได้เพียงแค่การช่วยเหลือผู้ป่วยแต่เพิ่มเติมด้วยการกระจายข้อมูลที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับกลุ่มคนใหญ่ ในโลกที่มีข้อมูลทางการแพทย์มากมาย ผม/ดิฉันตัดสินใจที่จะเข้าร่วมมีส่วนร่วมโดยใช้ความรู้และทักษะทางภาษาของผม/ดิฉัน จึงเริ่มเขียนบทความข่าวสารเกี่ยวกับความก้าวหน้าล่าสุดในการแพทย์ โรคต่าง ๆ การป้องกัน และรูปแบบการดำเนินชีวิต
ความหลงไหลในการเขียนช่วยให้ผม/ดิฉันสามารถอธิบายคำศัพท์และความคิดทางการแพทย์ที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ผม/ดิฉันพยายามให้ความสำคัญและรับผิดชอบต่อทุกบทความ เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องและมีประโยชน์ ที่สามารถช่วยเหลือคนในการดูแลสุขภาพของตน
พลังประสิทธิ์ของผม/ดิฉันคือที่ทำให้ข้อมูลทางการแพทย์เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้ นอกจากนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนใส่ใจกับความเจริญสุขของตนเอง บทความข่าวสารทุกเรื่องเป็นโอกาสที่จะแบ่งปันความรู้และช่วยเหลือคนที่กำลังมองหาข้อมูลทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้ นี่คือเสถียรภาพของผม/ดิฉัน และผม/ดิฉันภาคภูมิใจที่สามารถให้ความช่วยเหลือและแรงบันดาล
ใจในโลกของสายการแพทย์นี้ได้